เมนู

แล้ว จึงอยู่ก็ควร แต่ในพระบาลีท่านกล่าวไว้ว่า "เอกจฺเจ อาสวา ปริกฺ
ขีณา"
แปลว่า อาสวะบางอย่างสิ้นไปแล้ว จริงอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่า อาสวะ
ทั้งหลายของปุถุชนสิ้นไปแล้วย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึง
ไม่ทรงประสงค์เอาปุถุชน ที่ถูกควรจะกล่าวว่า แม้พระขีณาสพ ผู้ได้สมาบัติ
8 ถูกต้องวิโมกข์ด้วยนามกายนั้นแล้วอยู่ แต่ว่า ธรรมดาว่าอาสวะทั้งหลายของ
พระขีณาสพนั้นยังไม่สิ้นไปมิได้มี เพราะฉะนั้น พระขีณาสพนั้น พระผู้มี-
พระภาคเจ้าก็มิได้ทรงพระประสงค์เอา. ก็คำว่า "สมยวิมุตฺโต" นี้ พึงทราบ
ว่าเป็นชื่อของพระโสดาบัน พระสกทาคามี และพระอนาคามี รวม 3 จำพวก
เท่านั้น
จบอรรถกถาสมยวิมุตตบุคคล

[18]

อสมยวิมุตตบุคคล

บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็น
ไฉน ?

บุคคลบางคนโนโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ในกาลโดย
กาล ในสมัยโดยสมัย สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น
หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้ เรียกว่า ผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย
พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่า ผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย ในวิโมกข์ส่วนที่
เป็นอริยะ.

อรรถกถาอสมยวิมมุตตบุคคล


ก็ในนิเทศว่า "อสมยวิมุตฺโต" พึงทราบเช่นกับคำก่อน โดยนัยที่
กล่าวแล้วนั่นเทียว. อนึ่ง คำว่า "อสมยวิมุตฺโต" นี้ ในที่นี้เป็นชื่อของ